เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ก.พ. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะใกล้เข้ามาฆบูชา เขาจะมาภาวนากันไง เวลามาภาวนา เรามาภาวนาเพื่อเอาศีลเอาธรรม เวลาศีลธรรม หลวงตาท่านสอนประจำ ภิกษุถ้ามีสมบัติก็มีศีลธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นสมบัติ ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นสมบัติ เราบวชมา บวชมาเพื่อแสวงหาสัจจะหาความจริง ถ้าหาสัจจะความจริง ผลของมันคือมรรคผล แต่วิธีการ เราสร้างได้แต่มรรค เราทำแต่คุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรา มันมีคุณงามความดีภายนอกและคุณงามความดีภายใน

ถ้าคุณงามความดีภายนอก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมา เราทำหน้าที่การงานของเราเพื่อหาทรัพย์สมบัติของเรา บวชมาเป็นพระ บวชมาเป็นพระนะ ศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษาเล่าเรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นภาคปริยัติ ถ้าภาคปริยัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง สัจธรรมจะเกิดจากในหัวใจของเรา ถ้าสัจธรรมเกิดในหัวใจของเรา นั่นแหละมีทรัพย์สมบัติ มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติไง ถ้ามีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ มันเป็นสมบัติในนามธรรม ถ้าสมบัติในนามธรรม เราจะวัดได้อย่างไรว่าคนนั้นมีคุณสมบัติอย่างใด

ถ้ามีคุณสมบัติอย่างใด เครื่องหมายของคนดีไง ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าเขามีกตัญญูกตเวที เขามีน้ำใจของเขา นั่นน่ะเขามีสมบัติของเขา ถ้ามีสมบัติของเขา มันมีสมบัติอยู่ภายใน มันทำสิ่งใดขึ้นมามันขัดแย้งทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันจะทำเป็นทุศีล มันเป็นสิ่งที่ทำความขัดแย้งกับสัจธรรม แต่ถ้ามันเป็นทางโลกๆ สิ่งนั้นเขาว่าเป็นหน้าที่การงานไง เวลาเขาพูดถึงศีลธรรมๆ ให้ดูแต่ผลงาน อย่าดูที่พฤติกรรมของคน

พฤติกรรมนั่นแหละมันฟ้องไง

เวลาทางโลกๆ เวลาสร้างแต่ศาสนวัตถุ เขาว่าสิ่งนั้นศาสนาเจริญ ศาสนาเจริญ มันเจริญทางโลกไง ถ้ามันเจริญทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ปัญจวัคคีย์เท่านั้น ๕ คนเท่านั้น แต่เวลาแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เทวดา อินทร์ พรหมเขารู้ได้อย่างไร เขาฟังเสียงได้อย่างไร เขาฟังด้วยความสัมผัสของเขา เขามีธาตุรู้ของเขา เขารู้ของเขาได้ เขารู้ของเขาได้ไง ถ้ารู้ของเขาได้เป็นความจริง เห็นไหม นี่พระพุทธศาสนาเจริญ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เผยแผ่ธรรม นั่นแหละสุดยอด สหชาติ คำว่า “สหชาติ” คือเกิดร่วม เวลาเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม มีสิ่งใดที่เราสงสัย มีสิ่งใดที่เราไม่แน่ใจ เราทูลถามท่านได้ ทูลถามท่านได้เลย ท่านตอบปัญหาทุกปัญหาถ้าเราเข้าถึงท่าน เพราะท่านเผยแผ่ๆ คนที่ไม่สนใจ คนที่เขาไม่ศรัทธา ท่านยังฉายแสงฉัพพรรณรังสีให้เขาเห็น พอเขาเห็น เขาสะเทือนใจ เขาศรัทธาของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่ไปแล้ว หัวใจของคน ถ้าหัวใจของคน นั่นน่ะสหชาติเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง เวลาเจริญขึ้นมาเจริญด้วยคุณงามความดีไง ดูสิ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านคนเขาแสวงหาถึงท่าน ถ้าท่านมีสมบัติ มีสมบัติจากภายในของท่าน อันนั้นจะเป็นสมบัติสัจธรรมความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงมันเป็นจริงในหัวใจนะ ถ้าเป็นในหัวใจ

วันมาฆบูชา เราไปวัดไปวากันเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติเพื่อถวายบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายบูชาพระอรหันต์ในวันมาฆบูชา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราเองต่างหาก เราเองต่างหากเป็นผู้ที่ดัดแปลงหัวใจของเรา ถ้าเราดัดแปลงหัวใจของเรา เรามาดูที่นี่ไง เราไม่ดูสภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมที่เวลาสะเทือนใจเรา เห็นแล้วมันสะเทือนใจ อันนั้นมันเป็นคนที่เขาไม่มีวุฒิภาวะในใจ

เขาที่มีวุฒิภาวะในใจ ถ้าเขาแสวงหา เขาแสวงหาอะไร

เป้าหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด คือมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นที่พึ่งไง ก็สัจธรรมไง ถ้าเรามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามีสมาธิ อบอุ่นแล้ว ถ้ามีศีล มีสมาธิ จิตใจมันเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาแล้ว แล้วถ้ามีปัญญาขึ้นมานะ ปัญญามันยับยั้งได้ทั้งนั้นเลย สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งใดที่คับข้องหมองใจ เราใช้ปัญญาแยกแยะของเรา ธรรมโอสถมันเข้ามาชำระล้างในหัวใจของเรา

ถ้ามัน อตฺตา หิอตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนแก้ไขตนได้แล้ว จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเข้าสู่ใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ เข้าสู่ใจของปัญจวัคคีย์ เข้าสู่ใจของพระยสะ เข้าใจถึงชฏิล ๓ พี่น้อง

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงเดียว ใจดวงเดียวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาเผยแผ่ธรรม พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย เวลาพระอรหันต์รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เขาพ้นจากความเป็นภัยในหัวใจไง ถ้าพ้นจากความเป็นภัยในหัวใจ มันจะพ้นได้อย่างไรล่ะ

มันจะพ้นได้ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมจักรไง จักรที่มันเกิดขึ้นจากหัวใจไง ถ้าจักรมันเกิดขึ้น จักรมันคืออะไรล่ะ ถ้ามันจะเกิด เกิดขึ้นอย่างไรเวลามันหมุน

คนไม่ภาวนานะ เวลาหลวงตาท่านภาวนาของท่าน ท่านบอกว่ามันนอนไม่ได้เลยๆ เวลาติดมันก็ติดอยู่อย่างนั้นแหละ เวลาออกมาพิจารณาอสุภะนะ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น บอกเวลามันไม่ได้ใช้ปัญญาก็ให้ใช้ปัญญา ตอนนี้ใช้ปัญญาจนหยุดไม่ได้ จนนอนไม่ได้นะ จนยับยั้งไม่ได้ ท่านบอกนั่นแหละเหมือนน้ำป่า ดูสิ เวลามันเคลื่อน จักรมันเคลื่อน ธรรมจักรมันหมุนในหัวใจ มันเร็วขนาดนั้นน่ะ

แล้วมันเร็วที่ไหน เร็วก็จรวดใช่ไหม ไอ้เร็วอย่างนั้นมันเร็วเรื่องของการเคลื่อนที่ ของสสาร แต่เวลามันหมุนในหัวใจ จักรที่มันหมุนของมัน เวลาปัญญามันเกิด มันเกิดอย่างไร ถ้าปัญญามันเกิด ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งนี้มันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราที่มาประพฤติปฏิบัติกันก็ประพฤติปฏิบัติตรงนี้ เราสร้างเหตุๆ ไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุคือมรรค ถ้าเราสร้างเหตุของเรา ผลของมันคือผล เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม ถ้ารวมลงเป็นธรรม ถ้าพิจารณาไปแล้วเวลามันปล่อยวางขึ้นไป สัจธรรมอันนี้ สัจธรรมอันนี้เกิดขึ้นมา เกิดจากการกระทำของเรา การกระทำของ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เรารู้แจ้งเห็นจริงในหัวใจของเรา ถ้าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันขาด เวลามันขาด อะไรมันขาดล่ะ

เวลาเราเกิดมา อะไรพาเกิด? อวิชชาพาเกิด ความไม่รู้พาเกิด เวลาพิจารณาไปแล้วพิจารณาด้วยความแจ่มแจ้ง ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยปัญญาที่แจ่มแจ้ง พิจารณาไปแล้วมันปล่อยวาง ปล่อยวางก็รู้ว่าปล่อยวาง เวลามันขาดก็รู้ว่ามันขาด เวลามันขาดไป พอสิ่งที่มันขาด เวลามันขาด อะไรมันขาดล่ะ? สังโยชน์เครื่องร้อยรัดมันขาด ถ้าสังโยชน์มันขาดออกไปแล้ว เวลามันขาดออกไปแล้วดั่งแขนขาด ถ้าดั่งแขนขาด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ ไม่ให้เบียดเบียนกัน สรรพสัตว์ทั้งหลาย สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายที่เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เธอจงเป็นสุขๆ เถิด แม้แต่คนทำลายเรา เรายังแผ่เมตตาให้เขาเลย แม้แต่คนมากลั่นแกล้ง คนมาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เรายังแผ่เมตตาให้เขานะ เพราะเขาทำของเขา เขาสร้างบาปอกุศลของเขา เขาทำของเขา เขาคิดว่าเขาได้ประโยชน์

เขาได้ประโยชน์แต่วัตถุไง แต่การกระทำ มโนกรรมมันเกิดไง เขามีความคิด เขามีการกระทำ เขาได้ทำแล้ว เขาได้ทำแล้ว ผลมันเกิดแล้ว ผลมันเกิดที่ไหน? เกิดจากใจของเขานั่นแหละ

ทีนี้พอเขาทำเราแล้ว สพฺเพ สตฺตา เอ็งทำแล้ว เวรกรรมมันเกิดแล้วแหละ เราแผ่เมตตาเลย เวลาสรรพสัตว์ทั้งหลาย สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายที่เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย คนกระทำกับเราขนาดไหนเรายังแผ่เมตตาเลย นี่ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำลายกัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ สรรเสริญการฆ่ากิเลส การฆ่าความขุ่นข้องหมองใจในใจเรานี่ สิ่งที่มันขุ่นข้องหมองใจ สิ่งที่มันสะเทือนใจ ถ้าเราได้ชำระล้างมัน เราได้ทำลายมัน ทำลายมัน เรามีสติปัญญา เราก็ยับยั้งมันได้ ยับยั้งมันได้นะ ถ้ามีพุทโธๆ ต่อเนื่องไปมันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามา มันซ่อนอยู่ใต้ความรู้สึกเราน่ะ เราไม่ได้เข่นฆ่ามันหรอก มันแค่สงบระงับเข้ามา มันแค่ปล่อยวางเข้ามา

ถ้าปล่อยวางเข้ามา เราต้องรื้อค้นมัน รื้อค้นมันด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยความฉุกคิด นี่มันอะไร อะไรนี่ ไอ้ที่มันปล่อยๆ มันปล่อยอะไร แล้วมันมีอะไร ที่มันสุมในใจเรามันอะไร ถ้ามันจับต้องได้ เราวินิจฉัยได้ วินิจฉัยว่าเราเจอแล้ว เราจับต้องมันได้แล้ว นี่กิเลสที่เป็นนามธรรมๆ ความขุ่นข้องหมองใจ ความคับแค้นใจ ความลังเลสงสัย จับมัน ถ้ามันไม่ได้ เราค้นคว้า เพราะถ้ามันเป็นวัตถุธาตุมันก็เป็นสภาพของกาย ถ้าสภาพของกาย มันเป็นภาพที่เรารู้เราเห็นได้ ถ้าเป็นภาพที่เรารู้เราเห็นได้ เราจับความสะดุดใจ ถ้าความสะดุดใจนะ เราเทียบเคียงได้

นี่คือชีวิต ชีวิตคือชีวะ ชีวิตมันต้องรู้จริงสิ ชีวิตมันต้องเข้าใจสิ่งใดๆ สิ นี่ก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพราะว่ามันมีอวิชชาไง เราจับได้ เราก็พิจารณาของเรา เราแยกแยะของเรา ถ้าแยกแยะของเรา ถ้าจิตมันสงบแล้วเราจับได้ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น แต่นี่เวลามันเกิดขึ้น มันเกิดโลกียปัญญา มันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกนึกคิด

ความรู้สึกนึกคิดนี้เราพิจารณาบ่อยครั้งเข้า เราใช้สติปัญญาไล่เข้ามา ไล่เข้ามาให้มันปล่อยๆ มันปล่อยอย่างนี้เขาเรียกว่าสมถะ เพราะมันปล่อยแล้วมันก็มาว่างๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ มาว่างๆ นี้เป็นความรู้สึก มันเป็นอะไรๆ

มันเป็นอะไรก็เป็นตัวมันน่ะ นี่ยังเป็นมิจฉาอยู่ มิจฉาเพราะมันไม่มีสติปัญญาเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นสัมมานะ มันเป็นอะไร อะไรที่มันเป็นอยู่ก็จับสิ ก็จับ มีความรู้สึกก็รู้ได้ พอรู้ได้ จับ อ๋อ! อ๋อ! นี่คือได้งาน ได้งานคือได้สติปัฏฐาน ๔ ได้ความรู้ ได้สิ่งที่กิเลสมันปิดบังอยู่ ได้ความไม่รู้ ไอ้ที่ว่าอ๋อๆ เพราะมันไม่รู้มันก็ไม่รู้ พออ๋อๆ ก็จับมันได้ พอจับมันได้ วิธีการเราค้นคว้าหาได้ ถ้าค้นคว้าหาได้แล้ว เราใช้ปัญญาแล้ว ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นถึงว่าเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เรามีเหตุมีผล ที่มันมีต้นทางที่มันจะก้าวเดินต่อเนื่องไป เวลามันพิจารณาไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันจะคล่องตัวขึ้น นี่ไง ธรรมจักรที่จักรมันเคลื่อนไง ทั้งเหตุและผล เหตุที่มันจะเกิดขึ้น เวลาปัญญามันเกิดขึ้น มันเป็นขั้นเป็นตอนไง เวลาถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค มันก็มีสติปัญญา ถ้ามันเป็นสกิทาคามิมรรค มันก็เป็นสติปัญญาเหมือนกัน แต่มันละเอียดขึ้น แต่พอมันยกขึ้นสู่อสุภะ มันจะเป็นมหาสติ-มหาปัญญา

คำว่า “ปัญญาๆ” มันเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปนะ คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะรู้ของเขาว่าเหตุผลแค่ไหน วุฒิภาวะแค่ไหน วุฒิภาวะของจิตมีกำลังแค่ไหน ปัญญาที่หมุนไปแค่ไหนมันเป็นอย่างใด

มันชัดเจนของมัน มันชัดเจนเพราะอริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจๆ สัจจะมีหนึ่งเดียว เพราะพระอรหันต์ต้องผ่านตรงนี้ทั้งหมด พระอรหันต์ต้องผ่านจากอริยสัจ พระอรหันต์ต้องผ่านมรรค ๔ ผล ๔ ถ้ามันผ่านขึ้นไปมันถึงจะเป็นของมัน แล้วถ้าเป็น เพราะคนมันภาวนาขึ้นไปมันแตกต่างกันทั้งนั้นน่ะ เพราะถ้ามันไม่แตกต่าง ชื่อมันจะแตกต่างกันได้อย่างไร สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา แล้วพอมันเคลื่อนขึ้นไปมันเป็นปัญญาอัตโนมัติ มันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาญาณที่ใช้ความคิดไม่ได้ ความคิด วุฒิภาวะที่มันหยาบกว่ามันจะเข้าไปสู่ความละเอียดลึกซึ้งอย่างนั้นไม่ได้ มันขยับไม่ได้เลย มันเป็นญาณหยั่งรู้ มันเป็นญาณ ถ้ามันเป็นญาณ นี่อาสวักขยญาณ ญาณที่เข้าไปสำรอกเข้าไปคายมัน นี่ถ้ามันเกิด เกิดมรรคเกิดผลมันเกิดอย่างนี้

นี่ไง ที่ว่าเวลาหลวงตาท่านชมหลวงปู่ลี “เศรษฐีธรรมๆ” เขาเป็นเศรษฐีกันตรงนี้ เขาเป็นเศรษฐีกันในหัวใจ เขาเป็นเศรษฐีกันในอริยทรัพย์ เขาไม่ได้ไปขวนขวายหายศหาตำแหน่ง หาของภายนอกหรอก

ของภายนอก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสังคม สังคมต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เวลาถ้าทางฆราวาสก็ให้ถึงเป็นพุทธมามกะ ให้ถือศีลถือธรรม เวลาเป็นนักบวชแล้วศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เวลาประพฤติปฏิบัติ ศีลเป็นเรื่องโลก เวลาประพฤติปฏิบัติแล้วมันเป็นอธิศีล ศีลมันเป็นอัตโนมัติในใจ มันเป็นโดยตัวมันเองเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะถ้ามันไม่เป็นตัวมันเอง มันจะรู้ได้อย่างไร

สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพอยู่ เวลามันขยับออก หลวงตาใช้คำว่า “กระเพื่อม” เวลามันออก น้ำนิ่งๆ มันก็ปกติ เวลาน้ำกระเพื่อม น้ำไหล เอ็งไม่รู้ตัวหรือ เวลาน้ำกระเพื่อม มันกระเพื่อม เวลามันเสวยความคิด ความคิดเกิดขึ้นจากธรรมธาตุ จากความเป็นวุฒิภาวะของพระอรหันต์ เวลามันออกมามันกระเพื่อม เขาเรียกว่าเสวย มันออกมา ถ้ามันเข้าไปแล้วนั่นวิวัฏฏะ พ้นจากวัฏฏะ

วัฏฏะคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไอ้นั่นมันวิวัฏฏะ พ้นออกไปจาก ๓ โลกธาตุ มารหาไม่เจอ ทุกคนหาไม่ได้ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุด ไม่มีที่จะให้ค้นคว้าได้ แต่เวลามันจะกระเพื่อมออกมา กระเพื่อมเข้ามา มโนสัญเจตนาหาร เข้ามาสู่วัฏฏะ เข้ามาสู่ ๓ โลกธาตุ นี่เวลาเข้ามา ถ้าเข้ามามันเป็นสัจจะเป็นอย่างนั้น ถ้ามันรู้ได้ รู้ได้อย่างนี้มันก็รู้ได้ไง

พูดถึงว่าเศรษฐีธรรมๆ เขาจะมีวุฒิภาวะอย่างนั้น เศรษฐีธรรม ไม่ใช่เศรษฐีทางโลก มีการแข่งขันยื้อแย่งกัน ไอ้นั่นเป็นทางโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องโลก แต่เรื่องโลก ในเมื่อศาสนจักร อาณาจักร ศาสนจักรมันจะอยู่ได้ก็อยู่ได้ด้วยอาณาจักรนั้น ถ้าอาณาจักรนั้นเวลามันเจริญรุ่งเรือง ถ้าเราไปยึดติดแต่วัตถุอย่างเดียว หรือความเจริญอย่างนั้นด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย เราก็ถึงว่ามันมีปัญหา

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา เศรษฐีธรรมๆ ท่านอยู่ของท่านในป่าในเขา ท่านอยู่ของท่านในที่สงบสงัด ท่านมีความสุขของท่าน แล้วเวลาท่านแสดงธรรมๆ ก็ศาสนทายาท สร้างทายาทสืบต่อกันไป สร้างทายาทให้มีหิริมีโอตตัปปะ มีความเกรงกลัว มีความละอาย แล้วมันจะสงบระงับในใจ ไม่ต้องออกไปวุ่นวายข้างนอกไง แต่คนเรามันมาจากข้างนอก คนเราเกิดจากโลก เกิดจากสมมุติทั้งนั้นน่ะ แล้วมันจะเกิดการพัฒนาการของมันขึ้นไป ถ้าพัฒนาการขึ้นไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่ไง ธรรมอันนั้นๆ ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนา สัจธรรมๆ เราเอาสัจธรรมอันนั้น ฉะนั้น บุคคล บุคคลที่สืบต่อ บุคคลที่การกระทำ ถ้ามันมีสัจจะความจริงขึ้นมา เขามีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าไม่มีคุณธรรมในหัวใจ การแสดงออกมันฟ้องทั้งนั้นน่ะ นั่นน่ะคือการแสดงออก แสดงออกของโลก โลกกับธรรม

ฉะนั้น เราอยู่ในสังคม เห็นแล้วมันสะเทือนใจ ให้เป็นธรรมสังเวช ให้สังเวช ให้สังเวชมัน ถ้าคนผู้นำที่ไม่ดี คนผู้นำที่ไม่มีวุฒิภาวะ เขาพากันไปวุ่นวาย ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้นำที่ดี ถ้าคำว่า “ผู้นำที่ดี” ท่านจะเน้นย้ำกันในที่สงัดในที่วิเวก

หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าศาสนาพุทธพ้นจากป่าจากเขา ศาสนาจะไม่มีขึ้นมาอีกเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า ในที่สงัดในที่วิเวก ในที่ลับหูลับตาคน มันเป็นชัยภูมิที่การเผชิญกับกิเลสของตน ถ้าการเผชิญกับกิเลสของตน ที่นั่นเราจะฝึกบุคลากรของเรา เอาไว้ฝึกศาสนทายาทขึ้นมาให้เป็นความจริง

ไอ้เรื่องข้างนอกมันเป็นเรื่องปัญหาสังคม สังคมเขาเป็นเรื่องของสังคมเขา สังคมเขาเชิดหน้าชูตาก็เรื่องสังคมเขา แต่คนที่มีวุฒิภาวะเขาจะหาสัจจะหาความจริง แล้วหาสัจจะความจริงนะ

จริง เวลาครูบาอาจารย์เราอยู่ท่านจะมีบารมีธรรม มันอบอุ่น มันอบอุ่น มันรับรู้ได้ แต่ถ้ามันเป็นกิเลส เป็นตัณหาความทะยานอยาก มันมีแต่ความเร่าร้อน เราไม่เอาสิ่งนั้น เราเอาความร่มเย็นเพื่อใจของเรา เอวัง